บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สะกดจิตบำบัดคืออะไร

วันนี้ไปพบบทความ “สะกดจิตบำบัดคืออะไร?” ของเว็บบ้านสะกดจิต เลยนำมาให้อ่าน และก็ขอยืนยันว่า ผมไม่สนับสนุนการสะกดจิตด้วยประการใดๆ

ผมเห็นว่า การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาธรรมกายมีประสิทธิภาพมากกว่า ดีกว่า ที่นำมานำเสนอให้อ่านกัน เพราะ การสะกดจิตเป็นวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนศาสนาพุทธเท่านั้น

สะกดจิตบำบัดคืออะไร?
การสะกดจิตบำบัด คือ การทำให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองเกิดสมาธิ รับรู้ความรู้สึก จิตใจอยู่ในภวังค์ร่วมกับการให้คำแนะนำผ่านเทคนิคการสะกดจิต

สะกดจิตบำบัดสามารถทำได้ทุกคนหรือไม่ ?
ทุกคนสามารถรับบริการสะกดจิตบำบัดได้ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม

1) รับการสะกดจิตได้ดีมาก มีอยู่ประมาณ 10% คือกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการสะกดจิตบำบัดได้มากที่สุดเนื่องจากสามารถเปลี่ยนอารมณ์ การรับรู้ความรู้สึกได้ดีมาก

2) รับการสะกดจิตได้ปานกลาง เป็นคนส่วนใหญ่ มีถึง 80% คือกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ในการพัฒนาตัวเองและการบำบัดอาการที่ไม่หนักได้ดีกว่าอาการที่เป็นมานานและเรื้อรัง

3) รับการสะกดจิตได้น้อย มีอยู่ประมาณ 10% คือกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการสะกดจิตบำบัด เนื่องมาจากการมีข้อสงสัย ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่สามารถผ่อนคลายได้ กลุ่มนี้จะต้องใช้เครื่องมืออย่างอื่นช่วยในใช้เทคนิคสะกดจิตบำบัด

ถ้าเปรียบเทียบกันวิชาธรรมกาย การสะกดจิตบำบัดแพ้ขาด  วิชาธรรมกายนี่ ได้ผลร้อยละ 80 ขึ้นไป

สะกดจิตบำบัดอันตรายหรือไม่ ?
โดยกระบวนการของการสะกดจิตนั้นหากผู้บำบัดมีจรรยาบรรณ มีจิตใจบริสุทธิ์ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่มีอันตราย เว้นแต่การเข้าใจผิดในอาการของผู้รับการบำบัด ทำให้ผู้รับการบำบัดไม่ได้รับผลของการสะกดจิตตามที่ต้องการ

ตรงนี้ ผมไม่เชื่อ อันตรายมีแน่ และมีมากกว่าการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ แต่นักจิตวิทยาไม่กล้าบอกเท่านั้น

สะกดจิตบำบัดสามารถควบคุมจิตใจของผู้รับการบำบัดให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ หรือ ไม่ถูกต้องได้หรือไม่ ?
ไม่ได้ และการสะกดจิตบำบัดไม่ใช่การเข้าไปควบคุมจิตใจของผู้อื่น เป็นแต่เพียงการทำให้ผู้รับการบำบัดมีสมาธิอย่างสูง สามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึก ความคิดของตนเองได้เป็นอย่างดีเท่านั้น

ซึ่งในขณะสะกดจิตผู้รับการบำบัดยังคงรู้ตัว ควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี ผู้บำบัดไม่สามารถสั่งให้ทำในสิ่งที่ผู้รับการบำบัดไม่ต้องการได้

ตรงนี้ ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าดูหนัง ตัวโกงในหนังทำได้  แต่ถ้าให้สันนิษฐาน ผมว่า “ทำได้” แต่นักจิตวิทยาที่ดีๆ เขาก็ไม่กล้าทำ

สะกดจิตบำบัดเหมือนการนอนหลับใช่หรือไม่ ?
การสะกดจิตบำบัดไม่ใช่การนอนหลับ ผู้รับการสะกดจิตยังคงรู้สึกตัวดี รับรู้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก พฤติกรรมได้ดี และที่สำคัญคือ คลื่นสมองอยู่ใน theta หรือ low alpha เท่านั้น แต่หากหลับแล้ว สมองจะผลิตคลื่น delta เท่านั้น

ตรงนี้ก็เหมือนกับวิชาธรรมกาย  การจะเห็นดวงธรรมหรือกายธรรมนั้น เห็นที่ได้กับจุดที่เราจะหลับ การหลับกับการเห็นดวงธรรมจึงใกล้เคียงกันมาก แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

เป็นไปได้ไหมที่ฉันจะติดอยู่ในภาวะสะกดจิต โดยไม่สามารถตื่นจากภาวะนั้นได้ ?
เป็นไปไม่ได้ เพราะการสะกดจิตไม่ใช่การวางยาสลบ เป็นเพียงการทำให้เกิดสมาธิอย่างสูง ตระหนักรู้อารมณ์ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองได้เป็นอย่างดีมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งหมด

ตรงนี้นักจิตวิทยาก็ไม่กล้าบอกความเสี่ยงอีก คือ มันตื่นจากสภาวะสะกดจิตได้ทุกคน แต่ถ้าตื่นมาแล้วเป็นอะไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เช่น บ้าไปเลย หรือเพี้ยนไปเลย เป็นต้น

สะกดจิตบำบัดรักษาอาการใดได้บ้าง ?
เทคนิคการสะกดจิตใช้ได้ผลดีในอาการที่มีความเกี่ยวข้องกับ อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรม เช่น
  • ลดความวิตกกังวล
  • ลดความกลัว เช่น กลัวการพูดในที่สาธารณะ กลัวสิ่งที่ไม่สมควรกลัว
  • ลดอาการซึมเศร้า
  • ลดความเครียด
  • PTSD (Post-traumatic stress disorder)
  • ลดอาการนอนไม่หลับ
  • แก้ไขอารมณ์อันไม่เหมาะสม
  • แก้ไขความรู้สึกที่ส่งผลเสียต่อตนเอง
  • แก้ไขความคิดลบต่อตนเอง -ผู้อื่น
  • แก้ไขพฤติกรรมไม่พึงประสงค์
  • แก้ไขอาการเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์
  • ระงับอาการปวด
  • เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้
  • เสริมความมั่นใจในตนเอง
  • เพิ่มสมาธิ
  • เพิ่มศักยภาพรอบด้าน
  • เพิ่มความขยัน
  • ค้นหาความถนัดในตนเอง
  • ค้นหาจุดมุ่งหมายในชีวิต
  • ฯลฯ

แต่การสะกดจิตบำบัดไม่สามารถรักษาโรคอันเกิดจากเชื้อโรค เช่น ไข้หวัด  เป็นไข้ตัวร้อน  หรือโรคอันเกิดจากความผิดปกติในกระบวนความคิดอย่างรุนแรง เช่น โรคทางจิตเวช โรคความจำเสื่อมตามอายุไข หรือโรคที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองที่ผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น โรคออทิสซึม ได้

ถ้าเปรียบเทียบเฉพาะการรักษาโรคนั้น วิชาธรรมกายรักษาโรคได้มากกว่า

ควรทำการบำบัดด้วยการสะกดจิตกี่ครั้งจึงเห็นผล ?
โดยทั่วไปการสะกดจิตจะบำบัดอยู่ที่ 4 – 6 ครั้ง เท่านั้น แต่สำหรับผลในเบื้องต้น หากผู้รับการบำบัดปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้บำบัดได้ดี เพียงครั้งที่ 3 ก็เริ่มเห็นผลได้แล้ว

ตรงนี้วิชาธรรมกายชนะขาด เพราะ วิชาธรรมกายควรทำทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง แต่การสะกดจิตนั้นเป็นการรักษาโรค จะต้องเสียเงิน จึงไม่สามารถทำได้ตลอด

ขอสรุปอีกครั้งว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการสะกดจิตรักษาโรค เพราะ เป็นการเอาใจออกไปนอกตัว เวลาตายจะไปอบายภูมิกันหมด ทั้งหมอ ทั้งคนไข้

นอกจากนั้นแล้ว ประสิทธิภาพก็สู้วิชาธรรมกายไม่ได้เลย ในทุกๆ เรื่อง  แล้วเราจะไปสะกดจิตกันทำไม





วิธีสะกดจิต


วันนี้ก็มาถึง การสะกดจิตระลึกชาติบำบัด (Past-life Regression Therapy) ของ ดร.ไบรอัน แอล ไวส์ (Dr. Brian L. Weiss) กันเสียที

ก่อนหน้าที่จะมีการสะกดจิตระลึกชาติบำบัดนั้น นักจิตวิทยาเขามี วิธีการสะกดจิตย้อนอดีต (Regression Therapy or Age-regression Therapy) อยู่ก่อนแล้ว เพื่อรักษาโรคทางจิต

ดร. ไบรอัน ใช้วิธีนั้นรักษาคนไข้ชื่อแคตเทอรีน แต่กระบวนการรักษาบังเอิญทำให้แคตเทอรีนระลึกชาติไปได้ถึง 86 ชาติ

ข้อมูลในบทความนี้ เอามาจากหนังสือ Many Lives, Many Masters แปลเป็นภาคไทยโดยคุณจุไรรัตน์ อารยะกิตติพงศ์ ชื่อ ชาติภพ

ตัวอย่างที่อดีตชาติที่แคตเทอรีนระลึกได้ ก็มีเช่น

- ก่อน ค.ศ. 1863 เกิดเป็นผู้หญิงชื่อ อารอนดา ชาตินี้จมน้ำตายพร้อมกับลูก

- ค.ศ. 1756 เกิดเป็นชาวสเปน อายุ 56 ปี ชื่อลุยเซีย

- ค.ศ. 1473 เกิดในประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นเด็กผู้ชาย ผมสีบลอนด์ ชื่อโยฮัน และตายในสงครามตอนอายุ 21 ปี

ความรู้ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ 

- เราอาจจะเกิดเป็นผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ได้ และเป็นกะเทยก็ได้ อันนี้ก็สอดคล้องกับศาสนาพุทธ

- การระลึกชาติของแคตเทอรีนนั้น เกิดเป็นมนุษย์ตลอด ไม่เคยระลึกชาติเป็นสัตว์

- การระลึกชาติของแคตเทอรีนนั้น ไม่เคยไปสวรรค์หรือนรก เพราะ ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้น  ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ไปเลย ลงนรกก็ไปเลย

- เมื่อการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์แบบว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง สวรรค์นรกก็ควรจะมีจริง เพราะ ไม่งั้นจะไปอยู่ตรงไหน ระหว่างที่ยังไม่มาเกิด

ต่อไปเป็นกรรมวิธีการสะกดจิตที่ ดร.ไบรอัน ทำต่อแคตเทอรีน

การสะกดจิตเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คนไข้สามารถจดจำเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งคนไข้ผู้นั้นลืมเลือนไปแล้วได้ 

โดยเนื้อแท้ของตัววิธีการสะกดจิตนั้น ก็หาได้มีความลึกลับพิสดารแต่ประการใดไม่ มันเป็นเพียงลักษณะของการเพ่งความสนใจมุ่งไปยังจุดจุดหนึ่งเท่านั้นเอง [หน้า 33-34]

ภายใต้การควบคุมและการชี้นำโดยแพทย์ผู้ทำการรักษา สรีระของคนไข้จะค่อยๆ ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ แลทำให้เกิดสมาธิมุงลงสู่จุดเดียว

ตรงนี้คล้ายกับศาสนาพุทธ คือ ทำใจให้เป็นเอกัตคตารมณ์ คือ ให้เหลืออารมณ์เป็นหนึ่ง  ตรงนี้ขอย้ำว่า ดร.ไบรอัน ไม่ได้เอาหลักการของศาสนาพุทธไปนะครับ  ลักษณะคล้ายกันโดยบังเอิญ

ผมให้เธอนอนหนุนหมอนใบเล็กๆ บนโต๊ะโซฟาขนาดยาว หลับตากึ่งปิดกึ่งเปิด และต้องการให้เธอเริ่มรวบรวมสมาธิจดจ่ออยู่ลมที่หายใจเข้าออก ...

หลังจากทำไปได้สักพัก ผมจะให้เธอเริ่มจินตนาการว่า กล้ามเนื้อและส่วนต่างๆ ของร่างกายของตัวเธอนั้น ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ

ตรงนี้วิธีการแตกต่างกัน แต่ผลที่ได้คล้ายกัน คือ นักวิทยาจะให้คนไข้นอนบนโซฟา [เห็นจากการดูหนัง]  แต่ศาสนาพุทธจะเน้นการนั่ง

ส่วนการผ่อนคลายร่างกายนั้น จิตแพทย์จะบอก ส่วนของศาสนาพุทธเรา จะเป็นไปเอง

ถัดจากนั้น ผมจะให้เธอจินตนาการว่า มีแสงสว่างปรากฏขึ้นภายในกายของเธอ

โดยแรกเริ่มนั้น ให้กำหนดตำแหน่งไว้บนศีรษะ จากนั้น แสงดสว่างจะค่อยๆ แผ่กำจายออกไปทั่วเรือนร่าง

ตรงนี้คล้ายวิชาธรรมกาย คือ ใช้แสงสว่างเหมือนกัน  แต่กรรมวิธีแตกต่างกัน  แสงสว่างของวิชาธรรมกายต้องไปตามฐานของใจ  ส่วนของ ดร. ไบรอันให้แผ่ไปทั่วร่างกาย

เธอจะง่วงและสงบนิ่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแสงสว่างที่กำหนดนั้น จะปรากฏขึ้นถ้วนทั่วทุกอณูของร่างกายโดยการชักจูงของผม

ตรงนี้ส่วนที่คล้ายกันกับวิชาธรรมกายก็คือ การบอกหรือสั่งของหมอในกรณีการสะกดจิต ซึ่งก็คือการสั่งวิชาของสายวิชาธรรมกาย 

ส่วนแสงสว่างนั้น อย่างที่บอกไปแล้ว คือ วิชาธรรมกายแสงสว่างต้องอยู่ที่ฐานของใจ สุดท้ายเลยก็คือ ฐานที่ 7 เหนือระดับสะดือ 2 นิ้ว  ในกรณีของการสะกดจิต คงให้สว่างไปทุกอะตอมว่าอย่างนั้นเถอะ

ผมจะค่อยๆ รับถอยหลัง.....เมื่อนับถอยหลังไปจนกระทั่งถึงหนึ่ง เธอก็จะจมดิ่งเข้าสู่ภาวะของการสะกดจิต ที่กระทำอย่างถูกต้องและเหมาะสมนั้นได้ 

กระบวนการนับตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งสิ้นสุดใช้เวลาประมาณ 20 นาที

ตรงนี้เป็นลักษณะเฉพาะตัวของการสะกดจิต ในทางศาสนาพุทธนั้นไม่มีแบบนี้ 

ส่วนภาวะของการสะกดจิตนั้นคล้ายกัน  คือ ในการเห็นดวงธรรมกับกายธรรมนั้น ร่างกายของเราจะไม่ตื่นตัว 100% จะมีลักษณะเคลิ้มๆ หน่อยๆ

ครู่ต่อมา ผมจะให้เธอนึกย้อนกลับไปในอดีตเพื่อรำลึกถึงเรื่องราวในวัยเด็ก โดยในขณะที่ต้องประคองตัวเองในภาวะของการถูกสะกดจิตอยู่นั้น

เธอจะสามารถได้ยินในสิ่งที่ผมพูดและตอบคำถามต่างๆ ได้ด้วย

ตรงนี้ก็คล้ายกับศาสนาพุทธ คือ ให้ค่อยๆ ระลึกถอยหลังไป

โดยสรุป การสะกดจิตระลึกชาติบำบัด (Past-life Regression Therapy) ของ ดร.ไบรอัน แอล ไวส์ (Dr. Brian L. Weiss) นั้น เป็นวิธีการของวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

ดร. ไบรอัน ไวส์ ท่านก็ประกาศตัวในหนังสือของท่านว่า ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์

ในเมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง  เราคนในศาสนาพุทธก็น่าจะยินดี เพราะ ความเชื่อของเราสอดคล้องกัน และเชื่อให้แน่นแฟ้นว่า นรกสวรรค์ของเรามีจริงๆ






คลินิกสะกดจิตบำบัด


ในการหาข้อมูลเพื่อเขียนบทความชุด “สะกดจิตระลึกชาติ” นี้ ทำให้ผมทราบว่า ในประเทศเราปัจจุบันนี้ มีพวกทำมาหากินกับการสะกดจิตเป็นจำนวนมากทีเดียว 

บอกก่อนเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยกับ “การสะกดจิต” ด้วยประการใดๆ เพราะ ผมเห็นว่า การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธนั้น ดีที่สุดแล้ว 

นอกจากนั้น การสะกดจิต ถ้าว่ากันจริงๆ ตามสายวิชาธรรมกาย น่าจะเป็นวิชาของมารเสียด้วยซ้ำไป ตายไปแล้ว น่าจะไปอบายภูมิมากกว่าที่จะไปสุคติภูมิ

ถ้าคนอ่านถามว่า  ไม่เห็นด้วยแล้วมาเขียนทำไม

คำตอบก็คือ ผมต้องการจะยืนยันว่า การสะกดจิตนั้น ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ประเภทหนึ่ง ก็สามารถทำให้คนระลึกชาติได้  การระลึกชาติด้วยวิธีของวิทยาศาสตร์ประเภทนี้ ก็สามารถตีความไปได้ว่า นรกสวรรค์มีจริง

วันนี้ลองมาอ่าน วัตถุประสงค์ของการสะกดจิตของศูนย์อนัมคารา  ซึ่งเจ้าของศูนย์เคยไปเรียนกับ ดร. Brian Weiss มาด้วย

การบำบัดของคลินิกสะกดจิตบำบัด ศูนย์อนัมคาราฯ สามารถช่วยในเรื่องต่อไปนี้

1. เสริมสร้างศักยภาพด้านสมาธิ การเรียน ในเด็กสมาธิสั้น

2. แก้ไขอาการกลัวผิดปกติ เช่น กลัวที่สูง  กลัวที่แคบ  กลัวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า สัตว์บางชนิด เลือด  กลัวการเดินทางด้วยเครื่องบิน

3. รักษาอาการซึมเศร้าเรื้อรัง  อารมณ์เปลี่ยนแปลง  ขาดความมั่นใจ อารมณ์เบื่อท้อหมดไฟ

4. รักษาอาการวิตกกังวลเกิน  คิดวนเวียน  นอนไม่หลับ  ฝันร้าย  อาการย้ำคิดย้ำทำ

5. ปัญหาทางกายเรื้อรังบางอย่าง เช่นไมเกรน  อาการปวด  นอนกัดฟัน  เครียดเรื้อรัง  โรคกายที่สัมพันธ์กับจิตใจ

6. ปัญหาในสัมพันธภาพ  ความขัดแย้งในครอบครัว  ความรู้สึกติดลบ ฝังใจกับใครบางคน  หาต้นตอและแก้ไขในระดับจิตใต้สำนึก

7. ย้อนระลึกความสามารถหรือทักษะพิเศษในอดีตและอดีตชาติ เพื่อดึงกลับมาใช้ในปัจจุบัน  และความแจ่มใสเบิกบานให้กลับคืนมา

8. ความเข้าใจในที่มาของความฝันร้ายซ้ำๆและ ความฝังใจกับ คนบางคน  สถานที่

9. ใช้ปรับแก้นิสัยหรือบุคลิกภาพบางอย่าง  ติดบุหรี่  รวมถึงการพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์  เพิ่มศักยภาพของจิตใจ  สมรรถภาพสมาธิ  เพิ่มแรงจูงใจในการเรียน  พลังใจสู่ความสำเร็จ

ผมบอกตรงๆ วัตถุประสงค์ทั้ง 9 ข้อนั้น  ใช้การปฏิบัติธรรมแบบวิชาธรรมกายก็รักษาได้  และถูกต้องตามหลักของศาสนาด้วย  ไม่เห็นจะต้องไปใช้การสะกดจิตเลย

แต่ในการนี้ ผมได้ไปกล่าวหาผู้ก่อตั้งศูนย์นะครับ เพราะ มันอาชีพของเขา เขาเรียนมาอย่างนั้น และเขาก็ไม่ใช้การปฏิบัติธรรมในศูนย์ของเขาด้วย

เรียกว่าเป็นธุรกิจ ที่มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

มาดูวิธีการบำบัดอย่างคร่าวๆ กัน

การประเมินในมิติของ กาย ใจ สังคม สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ในอดีต การปฏิบัติธรรม  มิติของความเชื่อศรัทธา

วิธีการบำบัดที่ใช้
- การประเมินสภาวะอารมณ์ในจิตใต้สำนึก  จากค่าความผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Variability) การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทอัตโนมัติ  ด้วยเครื่องมือ Biofeedback  และ

- การสะกดจิตบำบัด หรือ จิตใต้สำนึกบำบัด

- โปรแกรมภาษาสมอง (Neurolinguistic Programing)

- การปรับสภาวะอารมณ์ด้วยการหายใจหัวใจสมองสอดคล้อง (Heart-Brain Synchronization)

- การสะกดจิตย้อนอดีต (Age regression) ลบปมในใจ, เยียวยาเด็กน้อยในตัวเรา (Inner child healing), การให้อภัยบำบัด( Forgiveness therapy) , พัฒนาศักยภาพ

- การสะกดจิตย้อนอดีตชาติบำบัด (Past life regression therapy)

- การนำสู่จินตภาพอนาคต เพื่อสร้างภาพความสำเร็จ

- ให้คำปรึกษาครอบครัว

- ให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา

- การสะท้อนกลับทางชีวภาพ ด้วยเครื่องมือ Biofeedback therapy  การใช้ข้อมูลสรีระวิทยาเพื่อฝึกการผ่อนคลาย และฝึกสมาธิ

- สมาธิบำบัด การภาวนาเปรมา บ่มเพาะพลังรักในหัวใจ

-  การบำบัดแบบทองเลน (Tonglen)  เพื่อสลายอารมณ์ลบ

- ศิลปะเพื่อการบำบัดจิตใต้สำนึก

จะเห็นว่า ศูนย์อนัมคาราฯ ไม่ใช้วิธีการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธเลย  ใช้วิธีการของวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

โดยสรุป  ไม่ว่าด้วยประการใดๆ หรือด้วยเหตุผลใดๆ ผมไม่เห็นด้วยกับการสะกดจิต ไม่ว่าจะสะกดจิตตัวเอง หรือไปสะกดจิตคนอื่น  ผมเห็นว่า การปฏิบัติธรรมได้ผลดีที่สุดแล้ว


ประการสุดท้าย  ค่าใช้จ่ายในการเข้าคอร์สดังกล่าว 1 วัน  ราคา 6,000 บาท  เรียนวิชาธรรมกายไม่ดีกว่าหรือ ฟรีทุกอย่าง แจกขนม แจกหนังสือด้วย