เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
การสะกดจิตนั้น เป็นวิทยาศาสตร์ในสาขาจิตวิทยา
เมื่อเป็นวิทยาศาสตร์ก็ต้องมีทฤษฏี
ผมถึงต้องนำทฤษฎีมาเผยแพร่ด้วย
ถ้าถามว่า
ทำไมถึงต้องลงทุนกันขนาดนั้น คำตอบก็คือ
ถ้าคนทั้งโลกยอมรับว่า “การสะกดจิต” เป็นความจริง
วิชาธรรมกายก็ควรจะเป็นความจริงด้วย เพราะ ทั้ง 2 อย่างนั้น
มีลักษณะเหมือนกันหลายประการ
บทความดังกล่าว
น่าจะแปลมาจากภาษาอังกฤษ สำนวนภาษาชี้ไปให้เห็นอย่างนั้น ก็อ่านไปเลยก็แล้วกัน
ผมตัดข้อความบางส่วนออกบ้าง เพื่อให้ข้อความกระชับลง
ทฤษฎีจิตใต้สำนึก
ทฤษฎีนี้ได้ถูกค้นพบโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่ง
เป็นการพูดถึงจิตใต้สำนึกของคนเรา ว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อน
แต่หากว่าสามารถควบคุมมันได้ก็จะทำให้เราควบคุมจิตใจและการกระทำของคนอื่นได้
หลายคนนั้นอาจยังคงไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของจิตใต้สำนึก
เพราะในชีวิตประจำวันนั้นเราพบเจอคำนั้นไม่ค่อยบ่อยนัก
จิตใต้สำนึกนั้นแท้จริงก็คือสิ่งที่คนแต่ละคนมีติดตัวอยู่แล้ว
แต่มีการนำมาใช้บ้างในบางเวลา เป็นจิตที่อยู่นอกเหนือเหตุผล
เป็นการใช้เรื่องของความรู้สึก และความเคยชินมาตัดสินใจในการกระทำอะไรบางอย่าง
ดังตัวอย่างเช่น
หากเรากำลังเดินทางกลับบ้าน แต่ในใจของเรานั้นคิดแต่เรื่องงานตลอดเวลา
โดยไม่ค่อยได้สนใจกับการเดินทางมากเท่าไหร่
แต่สุดท้ายเราก็สามารถเดินทางกลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัย เหมือนทุกวัน
ทำไมทั้งที่จิตใจไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่รอบข้างเท่าที่ควร
แต่เราก็สามารถสั่งร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ นั่นเป็นเพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า
“จิตใต้สำนึก” นั้นถูกปลุกขึ้นมาทำงานแทน
ซึ่งมันก็มีประสิทธิภาพสั่งการให้ร่างกายทำงานใกล้เคียงกับภาวะที่จิตใจธรรมดา
เรื่องของจิตใต้สำนึกนั้นเป็นที่สนใจของบรรดานักจิตวิทยามานานแล้ว
มีการทดลองหลายต่อหลายโดยที่พยายามที่จะสะกดจิตที่เป็นจิตใต้สำนึก
ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี
โดยในการทดลองนั้นทางด้านนักสะกดจิตนั้น
จะสั่งให้ผู้ที่ถูกสะกดจิต นั้นมีความรู้สึกร้อนเหมือนอยู่กลางทะเลทราย
ทั้งที่จริงแล้ว ในขณะนั้นเป็นฤดูหนาวที่มีภูมิอากาศติดลบ
แต่ผู้ถูกสะกดจิตก็รู้สึกร้อนถอดเสื้อผ้าออกและอาบน้ำเย็น โดยไม่รู้สึกหนาวแม้
แต่น้อย
ในการทดลองบางครั้ง
ก็จะพยายามให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นสวมบทบาทเป็นบางสิ่งบางอย่าง อย่างเช่น
หากผู้สะกดจิตสั่งให้ผู้ถูกสะกดจิตเป็นสุนัขก็จะมีท่าทาง อากัปกิริยาท่าทางคล้ายกับสุนัข
หรืออาจสั่งให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันดี
เช่น สะกดจิตให้คิดว่าตนเองเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็จะมีท่าทางลักษณะ
รวมทั้งการพูดจาคล้ายกับตนเองเป็นฮ่องเต้จริงๆ
ในประเทศไทยเอง
เรื่องของการสะกดจิตใต้สำนึก เรามักพบเห็นในการเข้าทรงตามที่ต่างๆ เป็นการสะกดจิตตนเองของเจ้าทรงทำให้คิดว่าตนเองเป็น
เจ้าที่มีอิทธิฤทธิ์ ซึ่งในบางรายก็สามารถดื่มเหล้าทีละหลายๆ ขวดติดต่อกัน
หรือสูบบุหรี่ทีละหลายๆ มวน แต่ไม่มีความรู้สึกเมาแต่อย่างไร
นั่นเป็นเพราะจิตใต้สำนึกนั้น
ถูกสะกดให้คิดว่าทำได้ จึงสั่งให้ร่างกายไม่มีอาการเมาอย่างที่เห็น
จากตัวอย่างการสะกดจิตใต้สำนึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น
เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่นั่นก็แสดงให้เราเห็นแล้วว่าจิตใต้สำนึกนั้น
เมื่อถูกสะกดก็จะไม่สนใจในเรื่องของเหตุผลหรือผลลัทธ์
จิตใต้สำนึกนั้นจะไม่สามารถแยกแยะ เลือกสรรและเปรียบเทียบสิ่งใดๆได้เลย
จิตใต้สำนึกจะยอมรับคำสั่งใดคำสั่งหนึ่ง
แล้วก็จะปฏิบัติไปตามนั้น
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทางนักจิตวิทยาสมัยใหม่ได้นำมาใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต
และก็ได้ผลลัทธ์ออกมาดีระดับหนึ่งทีเดียว
ทฤษฎีปฏิกิริยาสั่งใต้สำนึก
นี่เป็นหนึ่งในทฤษฎีการสะกดที่มีอิทธิพลในหลายๆด้าน
ในยุคศตวรรษที่ 20 มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
ทฤษฎีปฏิกิริยาสั่งใต้สำนึกนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองลักษณะ
คือ“ปฏิกิริยาสั่งใต้สำนึกอย่างแคบ” เป็นการสั่งให้จิตใจของเรามีความรู้สึกบางอย่าง
โดยการใช้สิ่งเร้าจากภายนอก
ดังตัวอย่างเช่น
หากเราได้เข้าไปในงานฉลองวันขึ้นปีใหม่
ก็จะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขไปด้วย
แต่หากว่าเราเข้าไปร่วมงานศพก็จะรู้สึกเศร้าสลด
ในการเข้าทรงมักจะมีการปักธูปเทียน
กำยาน รวมทั้งมีการตั้งแสงไฟให้สลัว สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลทำให้ต่อจิตใจเราทำให้เราเคารพและเกรงกลัวต่อเจ้าทรง
และสุดท้ายก็เชื่อในสิ่งที่เจ้าทรงพูด
วิธีการดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งที่เหล่ามิจฉาชีพนำไปดัดแปลงและใช้หลอกลวงเหยื่อมากมาย
แม้แต่สถานเริงรมย์หลายแห่งนิยมที่จะเปิดไฟสลัว
รวมทั้งมีการประดับประดาด้วยสิ่งของมากมายให้น่าสนใจ
ซึ่งนั่นก็เป็นตัวดึงดูดอย่างหนึ่งให้มีลูกค้ามาเข้าร้านมากขึ้น
หากว่ากันตามหลักของจิตวิทยา
สิ่งเหล่านี้ล้วนชักนำให้จิตของเราคล้อยตามสิ่งเหล่านั้น
แม้ว่าจะไม่มีผลรุนแรงเท่าการสะกดจิตจากนักสะกดจิตโดยตรง
แต่ก็ถือว่าเป็นการสะกดอย่างอ่อนๆ ตรงกับ ทฤษฎีปฏิกิริยาสั่งใต้สำนึก
อย่างที่สองเรียกว่า
“ปฏิกิริยาสั่งใต้สำนึกอย่างกว้าง”เป็นลักษณะของการสั่งการจิตโดยผ่านทางสัมผัสทั้ง
ตาที่ใช้มองเห็นภาพ ลิ้นที่คอยรับรสชาติ จมูกที่คอยสูดดมกลิ่น หูที่คอยฟังเสียง
ผิวกายที่คอยสัมผัสสิ่งของต่างๆ ทั้งหมดนี้ ล้วนแต่เป็นช่องทางที่กำหนดความรู้สึกภายในจิตใจของเราให้เป็นไปตามที่ได้รับมา
ตัวอย่างเช่น
หากเราได้กินมะขามที่มีรสเปรี้ยวจัด
เมื่อมะขามสัมผัสโดนลิ้นก็จะมีความรู้สึกเปรี้ยว
หากว่าเราได้เห็นสีแดงก็จะทำให้รู้สึกถึงความฮึกเหิม สนุกสนาน
นั่นเป็นปฏิกิริยาสั่งใต้สำนึกอย่างกว้าง
ในการทดลองนักสะกดจิตนั้นสามารถ
ทำให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นรู้สึกในกับสิ่งเร้า ในลักษณะที่แปลกออกไป
อย่างเช่นให้คนอื่นทานพริกที่เผ็ดมาก แต่ผู้สะกดจิตสั่งจิตของคนอื่น
โดยกำหนดว่านั่นเป็นน้ำตาล คนที่ถูกสะกดจิตก็จะรู้สึกหวานเหมือนได้ทานน้ำตาลเอง
นอกจากนั้นหากนักสะกดจิตสั่งให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นไม่ให้อ้าปากหรือลืมตา
ผู้ถูกสะกดจิตก็จะไม่สามารถอ้าปากหรือลืมตาได้รวมทั้งยังสามารถกำหนดการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้อย่างอื่นได้อีก
นั่นเป็นการแสดงถึงผลของปฏิกิริยาการสั่งใต้สำนึก
ทฤษฎีนึกคิดผูกพัน
หลักการของทฤษฎีนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว
แต่ยังมีการยอมรับและนำไปใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ ผู้ที่ตั้งทฤษฎีนึกคิดผูกพัน
ขึ้นมาคือ นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง“อริสโตเติล”
ซึ่งต่อมาภายหลังในยุคของชาวยุโรปเรืองอำนาจ
แนวคิดนี้ก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาและมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
หลักการของทฤษฎีนึกคิดผูกพัน
นั้นกล่าวว่าคนเรานั้นมักจะมีความนึกคิดอย่างหนึ่ง
ควบคู่กับสถานการณ์อย่างหนึ่งเสมอ ซึ่งนั่นอาจเกิดจากประสบการณ์ที่พบด้วยตนเอง
คำบอกของผู้ที่น่าเชื่อถือ
รวมทั้งจินตนาการที่เกิดจากความนึกคิดของตนเอง
ซึ่งในคนแต่ละคนนั้นอาจจะมีคล้ายกันหรือต่างกันก็ได้
ตัวอย่างเช่น
หากว่าเราเดินทางไปในป่าเวลากลางคืนคนเดียว
ในขณะนั้นเห็นเงาเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้ นั่นทำให้เราคิดไปว่า เป็นภูตผีปีศาจ
เพราะเคยได้ยินเรื่องเล่ามาจากผู้เฒ่าผู้แก่
หรืออาจคิดว่านั่นเป็นเพียงนายพรานที่มาดักสัตว์ป่าเวลากลางคืนเท่านั้น
เพราะป่าบริเวณนี้มีสัตว์ให้ล่าจำนวนมาก หรือไม่ก็คิดว่าเป็นโจรที่มาดักปล้น
เพราะเคยมีประสบการณ์โดนปล้นในป่าบริเวณนี้มาก่อน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความนึกคิดผูกพันที่เกิดมาจากอดีต
ทำให้จิตใต้สำนึกนั้นสั่งการให้ร่างกายและความคิดทำงานตอบสนองในสถานการณ์แต่ละแบบแตกต่างกันไป
ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ว่าจะถูกหรือผิด
ในการทดลองนั้นจะเห็นได้ว่ามนุษย์เรานั้น
มีความรู้สึกที่ฝังใจอยู่มาก จนทำให้มีผลต่อการตัดสินใจกับเหตุการณ์ในอนาคต
ซึ่งนั่นทำให้คนบางกลุ่มนั้นวิตกกังวลเกินไปจนเกิดเป็นอาการป่วยได้
ซึ่งวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดก็ต้องเริ่มจากคลายปมที่ยังฝังใจออกให้หมด
นักจิตวิทยามักใช้การสะกดจิตเป็นหนทางหนึ่งในการรักษา ซึ่งก็ได้ผลดีมาก
ทฤษฎีความขนานกันทางวัตถุกับจิตใจ
ทฤษฎีความขนานกันทางวัตถุกับจิตใจเป็นทฤษฎีที่ถูกพัฒนามาจากทฤษฎีความขนานกันของเอกพันธ์
ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากวิชาปรัชญานี่เอง
ภายหลังชาวญี่ปุ่นได้นำทฤษฎีนี้ไปปรับปรุงเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นถึง
10 เท่า จึงทำให้ทฤษฎีความขนานกันทางวัตถุกับจิตใจ นั้นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยแพร่หลาย
ทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับกันมากในนักสะกดจิตยุคปัจจุบัน
เพราะมีผลลัพธ์ที่รวดเร็วน่าเชื่อถือได้ นอกจากการศึกษา
หรือใช้ในการรักษาทางการแพทย์แล้ว ในวงการมายากลก็ใช้กันมาก
เป็นหลักการพื้นฐานในการกำหนดจิตของผู้ชม
หลักการของทฤษฎีนี้กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของวัตถุที่มีการขนานกับการเคลื่อนไหวของจิตใจ
การเคลื่อนไหวของทั้งสองสิ่งนั้นต้องอยู่ในทิศทางเดียวกัน แต่ต้องขนานกัน
การเปลี่ยนแปลงของวัตถุนั้นจะส่งผลทำให้จิตใจเปลี่ยนไปด้วย
ในการทดลองเช่น
การให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นมองลูกตุ้มขนาดเล็กที่กำลังแกว่งช้าๆ ไปมาในอากาศ
จากซ้ายไปขวาและขวาไปซ้ายอย่างต่อเนื่อง
จิตใจของผู้ที่ถูกสะกดจิตก็จะติดตามการแกว่งของลูกตุ้มไปมา
แต่หากว่าในขณะหนึ่งเราหยุดลูกตุ้มไม่ให้ขยับไปไหน
จิตของผู้ถูกสะกดจิตก็จะหยุดนิ่งตามลูกตุ้มไปด้วย
ในการแสดงมายากลนั้นก็ใช้หลักการเดียวกัน
แต่ถูกนำมาพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์
โดยที่นักมายากลจะพยายามให้ผู้ชมดูวัตถุสิ่งหนึ่งในมือ อาจเป็นไพ่หรือผ้าอะไรก็ได้
พยายามพูดโน้มน้าวให้ผู้ชมจิตใจจดจ่อกับสิ่งนั้น
ทำให้ถูกสะกดจิตไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นักมายากลจะสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาหรือหายไป
ทำให้เราเกิดความพิศวง
การชักจูงจิตใจผู้ชมนั้นเป็นหลักการขั้นพื้นฐานของนักมายากล
นักมายากลที่เก่งย่อมต้องเป็นนักสะกดจิตที่เก่งด้วย
ต้องทำให้จิตของตนเองเข้มแข็งและสามารถควบคุมจิตของผู้ชมทั้งหมดได้
หากเราเข้าใจและทำได้ระดับนี้ เชื่อว่าใครก็สามารถเป็นนักมายากลได้
ทฤษฎีความขนานกันทางวัตถุกับจิตใจ
หากจะว่าไปก็คือการเพ่งจิตกับวัตถุสิ่งหนึ่ง และรับรู้การเคลื่อนไหวเป็นไปของมัน
ด้วยทฤษฎีนี้เชื่อกันว่า
หากเราใช้จิตของเราที่มีลักษณะเหมือนคลื่นไฟฟ้าเพ่งมองบุคคลใดบุคคลหนึ่งจากที่ห่างไกล
เราจะสามมารถมองเห็นรับรู้การเคลื่อนไหวของเขาเหล่านั้น
เปรียบเสมือนการเข้าฌาน
จนสามารถมีหูทิพย์ ตาทิพย์
จนมองเห็นหรือได้ยินเสียงของคนที่เราต้องการได้จากระยะทางไกล
ทฤษฎีกิริยาของสรีรศาสตร์
ทฤษฎีกิริยาของสรีรศาสตร์เป็นทฤษฎีทางจิตวิทยา
ที่มีการใช้เรื่องของสรีรศาสตร์มาเกี่ยวข้อง
โดยผู้ที่ค้นคิดขึ้นมานั้นเป็นนักสรีรศาสตร์ชาวฝรั่งเศส
ทฤษฎีนี้มีการทดลองค้นคว้ามาเป็นเวลานาน
หลายคนยังมองว่าทฤษฎีนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่น่าเชื่อถือได้ นอกจากนั้นหลักการที่ใช้ยังคงสับสนและยังไม่น่าจะใช้สะกดจิตมนุษย์ได้
หลักการของทฤษฎีกิริยาของสรีรศาสตร์นั้นกล่าวว่า
การที่มนุษย์เรานั้นสามารถเคลื่อนไหวได้ สามารถใช้ชีวิตประจำวันอย่างทุกวันนี้
มีที่มาจากการสั่งการของสมอง สั่งให้อวัยวะกล้ามเนื้อในบริเวณต่างๆ นั้นขยับหรือหยุดได้ตามชอบใจ
นั่นเป็นการแสดงว่าสมองนั้น
มีพลังงานทางจิตอยู่ เป็นพลังงานหลักที่มนุษย์ใช้ ส่วนที่มาของพลังสมอง
นั้นมาจากเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสมอง รวมทั้งออกซิเจนที่ได้มาจากระบบการหายใจอีกด้วย
ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่คอยขับเคลื่อนให้สมองทำงาน
หลักการที่จะใช้ในการสะกดจิตคือต้องลดบทบาทของสมองของผู้ถูกสะกดจิตที่สั่งการร่างกาย
เมื่อลดได้นักสะกดจิตก็จะใช้คำสั่งนั้นสั่งการร่างกายของผู้ถูกสะกดจิตแทน
ซึ่งก็จะสามารถสั่งการให้ร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ
วิธีการที่ทำให้สมองลดบทบาทได้นั้น
ต้องทำให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
เพราะเป็นภาวะที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองในปริมาณน้อยกว่าปกติ
ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองนั้นน้อยตามไปด้วย
ทำให้นักสะกดจิตมีโอกาสเข้าไปแทรกแซงและออกคำสั่งแทนสมองได้
หากว่าเราสังเกตให้ดีในการสะกดจิตแทบทุกครั้งและแทบทุกแบบ
ผู้ถูกสะกดจิตนั้นมักอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
เพราะเป็นภาวะที่สามารถสะกดจิตได้ง่ายที่สุด
แทบจะไม่เคยเห็นว่าการสะกดจิตนั้นทำขึ้นในภาวะที่ร่างกายและสมองนั้นตื่นตัวเต็มที่
ซึ่งอาจมาจากเหตุผลที่ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่พลังของสมองนั้นมีพลังสูง
จนยากที่จะควบคุมได้ แม้ว่าหลักการของทฤษฎีกิริยาทางสรีรศาสตร์
นั้นยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์เท่าที่ควร
แต่ก็มีการไปใช้ในวงการสะกดจิตมากและนั่นย่อมแสดงถึงคุณค่าของทฤษฎีนี้
ทฤษฎีกิริยาของจิต
ทฤษฎีกิริยาของจิตเป็นทฤษฎีที่ถูกค้นพบโดยนายแพทย์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่ง
เป็นหนึ่งในทฤษฎีการสะกดจิตที่เป็นที่แพร่หลายและยอมรับกันมากทั่วโลก
เป็นที่เชื่อกันว่าทฤษฎีกิริยาของจิตเป็นทฤษฎีที่เป็นหลักในการสะกดจิตมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ทฤษฎีนี้ได้กล่าวอ้างถึงสภาพแวดล้อมและธรรมชาติเป็นหลัก
เชื่อว่าจิตของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่คล้อยตามธรรมชาติที่พบเห็น
โดยเห็นว่าการใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกวันนี้ มักจะเป็นผู้ที่รับมากกว่าเป็นผู้ให้
ทำให้ชีวิตนั้นต้องคอยปรับตัวตามสภาพสิ่งแวดล้อมที่ได้รับมา
จิตเองก็เป็นสิ่งที่ต้องคอยโน้มเอียงตามสิ่งแวดล้อมไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลักการของทฤษฎีนี้ก็คือการใช้ความโน้มเอียงของจิตใจที่มีต่อสภาพแวดล้อม
เป็นตัวแปรช่วยในการสะกดจิตให้เกิดประสิทธิภาพ
ดังเช่นตัวอย่างที่ว่า
หากเราพบเพื่อนคนหนึ่ง แล้วเขาทักเราว่าดูอ่อนเพลียน่าจะไม่สบาย
ในตอนแรกอาจะยังไม่รู้สึกอะไรมาก แต่พอมีเพื่อนมาทักในลักษณะเดียวกันอีก 2-3 คน
ทำให้จิตใต้สำนึกนั้นเชื่อว่าเราเองกำลังไม่สบาย
เมื่อจิตเชื่อก็จะสั่งให้ร่างกายเชื่อตาม
ซึ่งสุดท้ายก็ทำให้ร่างกายของเราไม่สบายขึ้นมาจริงๆ
ในกรณีนี้การที่เราป่วยหรือไม่สบายขึ้นมาเกิดจากภาวะถูกสะกดจิตใต้สำนึก
ไม่ได้เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บตามปกติ จะเห็นได้ว่าทฤษฎีนี้มักถูกใช้กันมาก
ทั้งในเรื่องของการเล่นกีฬาที่บรรดาโค้ชและเจ้าหน้าที่ทีมจะช่วยกันทำให้นักกีฬานั้นมีความมั่นใจว่าจะเป็นผู้ชนะ
หรือในเรื่องของการแสดงที่ทำให้นักแสดงนั้น แสดงศักยภาพทางการแสดงออกมา
ได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างที่พูดถึงทั้งหมดนั้นเป็นเพียงการใช้ทฤษฎีกิริยาของจิตในการควบคุมจิตใจของผู้อื่นอย่างอ่อนๆ
เท่านั้น หากว่าเจอกับผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งหนักแน่น
วิธีการดังกล่าวอาจจะใช้ไม่ได้ผล ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร
ในการสะกดจิต
โดยใช้ทฤษฎีกิริยาของจิตให้ได้ผลในระดับดีขึ้นไปนั้น
ต้องให้ผู้ถูกสะกดจิตนั้นอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นหรือไม่ก็หลับไปเลยเสียก่อน
ทำให้เกิดภาวะที่รับคำสั่งสั่งโดยที่ไม่มีความสงสัย พะวง หรือความนึกคิด
หากไม่ทำเช่นนี้จิตของผู้ถูกสะกดจิตก็จะต่อต้านคำสั่งของผู้สะกดจิต
จะมีการคิดคำนวณ หาเหตุผลประกอบในการกระทำ
จนสุดท้ายก็ทำให้จิตนั้นเกิดการเคลื่อนไหวที่คัดค้าน
และส่งผลให้การสะกดจิตนั้นไม่ได้ผล
หากจะสรุปทฤษฎีกิริยาของจิต
นั่นก็คือวิธีการสะกดจิตโดยที่ใช้สภาพแวดล้อมเป็นตัวโน้มเอียงจิตใจให้เชื่อ
จากนั้นจึงใช้คำสั่งที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมนั้นๆ
จะทำให้ให้จิตของผู้ถูกสะกดจิตนั้นเชื่อฟังและโน้มเอียงไปตามคำสั่งนั้นได้ง่าย
หากต้องการให้การสะกดจิตนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ก็ควรทำให้จิตของผู้ถูกสะกดจิตอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
ทฤษฎีปฏิกิริยาล่วงหน้า
ทฤษฎีปฏิกิริยาล่วงหน้า
เป็นทฤษฎีที่มาจากนักปราชญ์ชาวเยอรมัน
โดยพูดถึงภาวะของจิตใจเมื่อเจอกับสถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใด
ก็จะเกิดความคาดหมายของจิตว่าน่าจะเกิดอย่างนั้นหรือเกิดอย่างนี้
ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้
ดังตัวอย่างเช่นหากเราแข่งขันวิ่งมาราธอน
เราก็จะวิ่งเต็มที่สุดความสามารถของเรา
นั่นเป็นเพราะว่าเชื่อว่าเราก็มีโอกาสชนะเลิศในการแข่งขัน
ซึ่งเชื่อว่าทุกคนที่เข้าแข่งขันย่อมมีความเชื่อว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะเช่นกัน
ความเชื่อเหล่านี้เกิดจากปฏิกิริยาของจิตที่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า
ว่ามีความน่าจะเป็นอย่างนั้น
เมื่อจิตเชื่ออย่างนั้นย่อมจะสั่งการมายังร่างกายให้ทำอย่างเต็มที่
อาจจะพูดได้ว่าการแข่งขันกีฬาอะไรก็ตาม
ความเชื่อของจิตนั้นส่งผลถึงชัยชนะด้วย
คนมีจิตที่มีความเชื่ออย่างแรงกล้ามากกว่าย่อมมีโอกาสที่จะชนะมากกว่าด้วย
นอกจากนั้นในทฤษฎีปฏิกิริยาล่วงหน้า
ยังกล่าวไว้ว่าบรรดาผู้ที่ศึกษาหรือฝึกการสะกดจิตนั้น
ต่างมีต้นตอมาจากแห่งเดียวกันทั้งนั้น
อีกทั้งบรรดาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสะกดจิตนั้นล้วนแต่มีความสัมพันธ์กัน
สอดคล้องกันอย่างไม่มีข้อขัดแย้ง
ซึ่งนั่นแล้วแต่ว่าใครจะนำทฤษฎีหรือความรู้ไหนไปใช้เท่านั้น
ทฤษฎีปฏิกิริยาล่วงหน้า
นั้นก็เป็นเพียงหนึ่งในความรู้ทางด้านการสะกดจิตเหล่านั้น
ซึ่งมีข้อดีคือสามารถทำให้เกิดผลกับผู้ถูกสะกดจิตฝ่ายเดียว
และยังสามารถทำให้เกิดผลกับทั้งผู้สะกดจิตและผู้ถูกสะกดจิตทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
ด้วยเอกลักษณ์ในข้อนี้จึงทำให้ทฤษฎีนี้เป็นที่ยอมรับกันมาก
การสะกดจิตโดยส่วนมากแล้วผู้ที่สะกดจิต
นั้นย่อมมีความเชื่อว่าตนเองนั้นทำได้ และสามารถทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในการควบคุมได้
ซึ่งก็มักจะประสบความสำเร็จ เพราะเกิดจากจิตที่มุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ
ในขณะเดียวกัน
หากว่าผู้ถูกสะกดจิตนั้นมีจิตใจที่ยอมให้สะกดจิตโดยง่าย
ย่อมจะเป็นการส่งเสริมให้การสะกดจิตนั้น ประสบผลสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น
ดังนั้นการสะกดจิตที่ได้ผลดีที่สุด
ก็ต้องเกิดจากการยินยอมร่วมมือของทั้งสองฝ่าย
ดังที่เราจะเห็นได้ว่าแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับโรคจิต
โดยใช้วิธีการสะกดจิตต้องมีการพูดคุย ทำความรู้จักกับผู้ป่วยจนสนิทสนมระดับหนึ่ง
และบอกกล่าวถึงเรื่องการรักษาโดยการสะกดจิตเสียก่อน
เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยนั้นเปิดใจให้สะกดจิตโดยง่าย
และส่งผลให้การรักษาผู้ป่วยนั้นทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
ทฤษฎีเกี่ยวกับการสะกดจิตทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ยังมีวิธีการและความรู้อีกมากมายที่ใช้ในการสะกดจิต ซึ่งนั่นก็ต้องศึกษากันต่อไป
แต่ทฤษฎีที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น
เป็นทฤษฎีที่รู้จักกันมากในหมู่นักสะกดจิตและนักจิตวิทยา
การที่จะทำการสะกดได้ผลหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงเท่านี้
ยังต้องมีองค์ประกอบอีกมาก
ที่สำคัญที่สุดคือนักสะกดจิตเองต้องเป็นผู้ที่ฝึกฝนทางจิตมามากพอสมควรจนจะทำให้การสะกดจิตนั้นได้ผลเต็มที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น