บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เขาหาว่า ผมสะกดจิต

ผมรู้จักการสะกดจิตจากเรื่องเล่า หนังฮอลลีวูด หนังสือของ Dr. Bryan Wise และ ชมรมสะกดจิตแห่งประเทศไทย

และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ เมื่อผมสอนนักเรียนเห็นดวงธรรม เห็นกายธรรมได้นั้น เขาหาว่า ผมสะกดจิต (ดูตัวอย่างการสอนด้านบน)

เมื่อถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ผมสะกดจิตไม่เป็นเลย ไม่เคยมีความรู้ในด้าน “ปฏิบัติการ” เลยว่า เขาทำกันอย่างไร ผมก็ต้องไปค้นคว้าหาข้อมูล

การถูกกล่าวหาว่า “ผมสะกดจิต” นั้น ผมไม่ได้รู้สึกรู้สาเท่าไหร่นัก เพราะ ชีวิตของผมนี่ ถูกกล่าวหามาตลอด

หาว่า “ขี้เมา” บ้าง  [นานมาแล้ว]

อันนี้มันก็จริงบ้างๆ ไม่จริงบ้าง  ใครมันบ้าเมาตลอด 24 ชั่วโมง มันก็ต้องมีวันหยุดกันบ้าง

หาว่า “เป็นตัววรนุสของหมู่บ้าน” บ้าง [นานมาแล้วเหมือนกัน]  

คือ ชอบไปตีหัวคน ทำร้ายร่างกายของคนอยู่เป็นประจำ  อันนี้ต้องยอมรับว่า ผมมีพฤติกรรมอย่างนั้นจริง  แต่คนต้นเรื่องไม่ใช่ผม 

ผมไปช่วยเพื่อนเท่านั้น  คนที่ควรถูกด่า ควรเป็นคนที่ไปหาเรื่อง ผมทำร้ายคนไป เพราะ ผมเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้น

ในชีวิตการทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เขาก็หาว่า “ผมเป็นคนหัวแข็ง” 

ผมก็ต้องยอมรับว่า หัวผมแข็งจริง ไม่อย่างนั้น สมองมันจะอยู่เป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้ได้เลย 

สรุปได้ว่า ผมไม่สนใจและไม่เคยกลัวเรื่องถูกกล่าวหา  แต่เรื่องสะกดจิตนี้ “คล้าย” กับวิชาธรรมกายมาก ในหลายเรื่อง “วิธีการ” เหมือนกันเลย

บอกเสียก่อนเลยว่า ผมไม่สนับสนุนการสะกดจิต โดยประการใดๆ ไม่ว่าจะรักษาโรค ไม่ว่าจะระลึกชาติ ไม่ว่าในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น

เพราะลึกๆ แล้ว  ผมเห็นว่า มันจะส่งผลต่อผู้ถูกสะกดจิตในระยะยาว  เมื่อตายไปแล้ว ก็น่าจะไปอบายภูมิมากกว่า ที่จะไปสุขคติภูมิ

วิชาธรรมกายมีประสิทธิภาพมากกว่าการสะกดจิต ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมใด

อย่างไรก็ดี  เว็บไซต์ของ “ชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศ” ได้ลงประวัติความเป็นมาของการสะกดจิตในประเทศไทยไว้อย่างละเอียด และดีที่สุดเท่าที่ค้นคว้ามา


ผมก็เลยขอยืมมาเผยแพร่เลย ดังนี้ 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น